วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

เวนิส นครแห่งสายน้ำ

เวนิส นครแห่งสายน้ำ (Venice หรือ Venezie)


บทนำเวนิส (Venezia) เมืองที่โรแมนติกติดอันดับต้นๆ ของโลก เมืองที่ใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน” มีเกาะเล็กใหญ่กว่า 118 เกาะ  และมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก  ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเอเดรียติกเป็นเมืองท่าโบราณเวนิส ใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด มีอาคาร ร้าน บ้านเมืองตั้งริมคลอง มีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่างๆของเมืองมีการบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติของ 2 ฝั่งคลองโดยทางเรือ นับเป็นเมืองที่คลองมากกว่าถนนอีกเมืองหนึ่งของโลก  
ที่ตั้ง ภูมิประเทศ เวนิส(อังกฤษ: Venice)หรือเวเนเซีย(อิตาลี: Venezia)เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน (ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2547) เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก(Queen of the Adriatic),เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)
เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลอาเดรียติก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา (Terraferma) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ
                           
                    File:Venezia-map 1-1220x900.png
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
           เมืองเวนิสเดิมเป็นชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณลากูนที่รวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านอันตรายจากชนลอมบาร์ด,ชนฮั่น และกลุ่มชนอื่นที่เริ่มเข้ามารุกรานหลังจากอำนาจของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเริ่มลดถอยลงในบริเวณทางตอนเหนือของอิตาลี ในเวลาระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชุมชนในบริเวณลากูนก็เลือกตั้งผู้นำคนแรกออร์โซ อิพาโต (Orso Ipato) ที่ได้รับการอนุมัติจากไบแซนเทียมและได้รับตำแหน่ง “Hypatos” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้ในจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เทียบเท่ากับ กงสุล และ “Dux” ที่ต่อมาแผลงมาเป็น ดยุค ออร์โซ อิพาโตเป็นบุคคลแรกที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นดยุคแห่งเวนิส (Doge of Venice) คนแรก แต่ในหลักฐานจากคริสต์ศตวรรษที่ 11 กล่าวว่าชาวเวนิสประกาศให้เพาโล ลูชิโอ อนาเฟสโต  (Paolo Lucio Anafesto) เป็นดยุคในปี ค.. 697 แต่หลักฐานนี้ก็เป็นเพียงบันทึกของจอห์นผู้เป็นดีคอนของเวนิส แต่จะอย่างไรก็ตามดยุคแห่งเวนิสก็มีอำนาจอยู่ที่เอราเคลีย
            เวนิสเป็นเมืองอิสระแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออกตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ในช่วงยุคกลาง เวนิสได้ขยายอำนาจและอิทธิพลแผ่ออกไปทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงคอนสแตนติโนเปิ(ปัจจุบันคือ อีสตันบูล) เป็นเมืองเชื่อมทางการค้ากับทางตะวันออก มีความมั่งคั่งอย่างมหาศาล มีทรัพย์สมบัติทางศิลปะและสถาปัตยกรรมมากมายตลอดเมือง แค่ความงามของ St. Mark’s อย่างเดียวก็สามารถเผยความจริงของเมืองเวนิสประจักษ์ต่อชาวโลก โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 12 ถึง 14 ค่ะ ในปีต่อๆ มาผืนดินก็ค่อยๆ แตกแยกแปลสภาพเป็นรัฐต่างๆ จนกระทั่งปี 1797 ตกไปอยู่ในการปกครองของนโปเลียน และท้ายที่สุดเวนิสเข้าร่วมกลุ่มราชอาณาจักรของอิตาลีในปี 1866 ซึ่งเป็นการนำความเป็นหนึ่งอันเดียวกันเป็นครั้งแรกในประศาสตร์ของประเทศ  ปัจจุบันเวนิสมีบทบาทใหม่ ซึ่งอาคารโบราณต่างๆ นั้นได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ ร้านค้า โรงแรม และอพาร์ทเมนท์ อย่างไรก็ตาม มนตร์ขลังของความเก่านั้นยังไม่จืดจางเลย


ข้อมูลเมืองเวนิส
สภาพเศรษฐกิจโดยรวม / ระบบเศรษฐกิจ
           เวนิสเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สำคัญด้านฝั่งตะวันออกของอิตาลี เป็นเสมือนประตูสู่แผ่นดินใหญ่ และแถบยุโรปตะวันออก ท่าเรือเวนิชรองรับการขนส่งสินค้าประมาณ 3 แสนตู้ต่อปี และผู้โดยสารทางเรือประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี และยังเป็นเมืองที่เศรฐกิจหลักขึ้นกับการท่องเที่ยว มีนักเที่ยวเข้ามาเที่ยวมากที่สุดติดอันดับหนึ่งของโลก (รองลงมาคือ ปารีส มอสโค และลอนดอน) และมีนักท่องเที่ยวเข้าออกมากตลอดทั้งปี ประมาณ 33 ล้านคนต่อปี นอกจากความสำคัญด้านการท่องเที่ยวแล้วยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรม เครื่องแก้ว เครื่องประดับ ผ้าลูกไม้

แหล่งท่องเที่ยวที่นิยม และฤดูท่องเที่ยว
            เวนิสเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวตลอดปี เนื่องจากมีการจัดงานตามเทศ กาล  คอนเสิร์ต โอเปร่า  ละคร งานประกวดภาพยนตร์นานาชาติ งานเทศกาลสินค้า ตลาดนัด นิทรรศการงานศิลปะ การประชุมสัมมนา  การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวอื่นๆ เฉลี่ยตลอดทั้งปี  งานเทศกาลเก่าแก่และที่มีชื่อได้แก่ งาน Carnevale di venezia จัดประมาณกุมภาพันธ์ทุกปี การแข่งเรือ (Vogalonga)จัด ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี  นอกจากนี้ งานเทศกาลสำคัญอื่นๆ ได้แก่  La festa della Sensa  , Il Redentore  , La Regata Storica  , La festa della Salute  ,La stagione remiera , ฯลฯ

            นอกจากนี้ ยังมีงานขายของเก่า (Antiques Market) ซึ่งเป็นงานขายของที่เก่าแก่จัดเกือบตลอดทั้งปีบริเวณ Campo San Maurizio   ทั้งนี้ เมื่อใกล้เทศกาลคริสมาสจะมีการขายของทั่วทั้ง เมืองได้แก่ งาน Christmas in the Lagoon จัดขายของในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ขายทั้งสิน ค้าอาหารและสินค้าของท้องถิ่นเช่น ผลิตภัณฑ์แก้ว เครื่องประดับแฟชั่น ภาพวาดงานศิลปะ หมวก ของแต่งบ้านและอื่นๆ (www.nataleinlaguna.itงาน Christmas of glass จัดในเกาะมูราโน นอกจากการขายสินค้า เครื่องแก้วของเกาะแล้ว บนเกาะยังมีการแสดงที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เพื่อดึง ดูดนักท่องเที่ยว และงานอื่นๆ อีกกว่า 25 งานเทศกาลต่างๆ เป็นการสร้างสีสัน และความคึกคักให้กับเมืองเวนิส สมกับฉายาฟ้าใส ทะเลครามเป็นอย่างดี
 
           เรือกอนโดลา (
Gondola) อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส มีความเชื่อมาว่า ถ้าคู่รักได้จูบกัน เมื่อตอนระฆังปาไนล์ดังตอนเย็น  ขณะลอดข้ามสะพานถอนหายใจ ถือว่าคนนั้นจะรักกันยืนนาน

           สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sigh) สะพานนี้ใช้เดินข้ามเพื่อไปเข้าคุกที่อยู่อีกฝั่ง  วิวที่เห็นจากสะพานนี้จะเป็นวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส  แสงสว่างที่เห็นจากช่องสะพาน นักโทษจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ยก่อนเข้าคุก  และจะถอนหายใจด้วยเหตุผลนี้   เพราะรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกมาเห็นแสงสว่างอีกแล้ว ตามประวัติมีอยู่คนเดียวที่ได้ออกมาเขาคือ…   คาสโนว่า   นักรักผู้ยิ่งใหญ่
            เรือกอนโดลา (Gondola) เป็นเรือพายพื้นบ้านของชาวเวนิส ใช้เป็นพาหนะหลักของการเดินทางในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มานานหลายร้อยปี และเป็นสัญลักษณ์ของเวนิสไปซะแล้ว  ถ้าได้ไปเวนิส ต้องไม่พลาดที่จะได้ไปล่องเรือกอนโดลา เพื่อชมเมืองเวนิส

  รูปแบบศิลปะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
                            วิหาร เซนต์ มาร์ค (St Mark's Cathedral - Basilica di San Marco )

           มหาวิหารและจตุรัสซานมาร์โก้ (San Marco) ที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นอาคารที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ อาหรับ โรมันเนสก์ เรอเนซองซ์ เข้าไว้ด้วยกัน มียอดโดมแบบอาหรับ ในมหาวิหารนี้เชื่อว่าบรรจุศพของเซนต์มาร์ก (หรือที่ชาวแคทอลิกในเมืองไทยรู้จักในนามว่ามาระโกผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาใหม่บทที่ 3) ที่ (เชื่อกันอีกว่า) ชาวเวนิสไปโขมยมาจากเมืองอเลกซานเดรีย
         ประเทศอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของปลายจตุรัสเซนต์ มาร์ค สร้างครั้งแรกในศตวรรษที่ 9 หลังจากที่ร่างของ เซนต์มาร์ค ถูกโขมย แต่วิหารนั้นก็ถูกไฟไหม้ ในศตวรรษที่ 11 ชาวเวนิสจึงสร้าง
วิหารหลังใหม่ขึ้นมาด้วยการใช้รูปแบบของกรีก และ โดม ห้าโดม มันผสมผสานระหว่างสไตล์ต่างๆ มากมาย เช่น ไบแซนไทน์ (Byzantine) , โกธิค ( Gothic), มอริช (Moorish), และเรอเนซองซ์ (Renaissance) 

คาร์นิวาลในเวนิส
            ทั่วทั้งยุโรป จะมีงานเฉลิมฉลอง เทศกาลคาร์นิวาล ทุกปีในช่วงกลางเดือนกุมภาฯ งานคาร์นิวาลที่เมืองเวนิส จัดว่าเป็นงานที่ไม่ควรพลาดเป็นที่สุด ปกติในเทศกาลคาร์นิวาล คนที่มาร่วมงานก็จะแต่งชุด Custume แปลกๆ สีสันสดใส แต่ในเวนิสไม่เพียงแค่นั้น ที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือ ทุกคนต้องสวมหน้ากากด้วย เทศกาลคาร์นิวาล เป็นประเพณี ตั้งแต่สมัยที่เวนิสรุ่งเรืองแล้ว คนที่มาร่วมงานคาร์นิวาลจะต้องสวมหน้ากาก ด้วยเหตุผลที่ว่า คนที่มีฐานะสูงๆในเวนิส เวลามาร่วมสนุกในงาน ต้องการปกปิดฐานะของตนเอง ในงานก็จะสามารถฉลองได้อย่างเต็มที่ (บางครั้งก็อาจไม่ค่อยถูกศีลธรรมมากนัก) จะได้ไม่ต้องกลัวคนรู้จัก และเสื่อมเสียชื่อเสียงภายหลัง

         แต่ปัจจุบัน งานคาร์นิวาล กลายเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเวนิสไปแล้ว หน้ากากไม่ได้มีไว้เพื่อปกปิดตัวเองอีกต่อไป แต่เพื่อความสวยงาม ในสมัยก่อน หน้ากาก มักจะเป็นสีขาวธรรมดา แต่ปัจจุบัน หน้ากากมีหลายดีไซด์ หลากสี ลวดลายสารพัด ถ้าเป็นของผู้ชายก็จะออกเรียบๆ หน่อย ของผู้หญิงก็จะมีของตกแต่งเยอะกว่า ต่อปีมีนักท่องเที่ยวมาร่วมงานนับแสนคน เมืองเวนิสที่เล็กอยู่แล้ว ก็ทำให้ยิ่งเล็กลงไปอีก ถนนสายหลักในเวนิส ช่วงงานคาร์นิวาล บางสายอย่าว่าแต่เดินเลย ที่จะยืนยังไม่มีเลย บางครั้งจะต้องยอมเดินอ้อมๆ เพื่อหลบกระแสมหาชน

          ร้านหน้ากาก มีอยู่ทั่วเมืองเวนิส บ้างร้านก็เปิดโชว์วิธีการทำให้ดู ตั้งแต่ การทำแบบ จนถึง ลงสี และลวดลาย ราคาก็มีตามระดับคุณภาพ ตั้งแต่หน้ากาก mass product ราคาไม่กี่สิบยูโร จนถึงแบบ ต้นตำหรับ ราคาหลักร้อยยูโรเป็นต้นไป เพนต์หน้า เป็นอีกทางเลือกนึง สำหรับคนที่ไม่ชอบใส่หน้ากาก ธุรกิจเพนต์หน้า ในช่วงคาร์นิวาล จะเฟื่องฟูมาก มีแผงลอย มากกว่าสิบแผงให้เลือก เพนต์ ได้ตามอัธยาศัย 




สรุป
            เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะเป็นเมืองที่ติดอันดับเมืองที่สวยที่สุดในโลก เป็นเกาะเล็กๆในทะเล มีการสร้างบ้านเมืองเมืองขึ้นในบริเวณพื้นที่เป็นเกาะเล็กๆน้อยๆถึง 120 เกาะ มีคลองทั้งสิ้น 177 คลอง เชื่อมต่อกันด้วยสะพานมากกว่า 400 สะพาน มีการก่อสร้างต่อเติมตึกรามบ้านช่อง ขยายไปเรื่อยๆในระดับเหนือผิวน้ำเพียงเล็กน้อย ทำให้เวนิส กลายเป็นเมืองใหญ่ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 1000 ปี และได้รับฉายาว่า "Queen of the Adriatic” ที่มีอิทธิพลทางการค้าขายทางทะเลในย่านนี้ มานาน ดังนั้นลักษณะคลองของเวนิชจึงไม่ได้เกิดขึ้นตามนิยามของไทยที่ว่า คลองเกิดจากการขุด แต่ของเวนิส เกิดจากการก่อสร้างที่ขยายต่อเติมอาคารบนเกาะเล็กๆจนเหลือผิวน้ำไว้เป็นเส้นทางสัญจร



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น